แก้Error E2 E4 E5 Cannon MP145 MP150 MP160


ผมไปเอามาจากคนอื่นอีกทีนะครับ เห็นว่าได้ผลครับ.....
1.ถอดปลั๊คเครื่องปรินออก
2.กดปุ่มpower ค้างไว้ แล้วเสียปลั๊คอีกครั้ง
3.กดปุ่ม stop/reset 2 ครั้ง แล้วปล่อยปุ่มpower พร้อมกัน
4.หน้าจอจะขึ้น เลย 0 ให้กดที่ปุ่ม + 1ครั้ง หน้าจอจะขึ้นเลข 1
5.กดปุ่ม startcolor 2 ครั้ง แล้วกดปุ่ม power 1 ครั้ง รอกระดาษปรินเทสออกมา 2 แผ่น
6.เปิดฝาปริ้น รอหัวพิมพ์เลื่อนมาทางด้านซ้าย ถอดปลั๊กไฟออก แล้วถอดตลับหมึกออก ทั้ง สีและดำ ออก
7.ปิดฝาเครื่องปริ้น เสียบปลั๊ก แล้วเปิดเครื่อง
8.เครื่องจะเรียกหาตลับหมึก ให้ใสเหมือนเดิม แล้วปิดฝา หน้าจอจะขึ้นเลข 1
9.OK พร้อม สามารถใช้งานได้แล้วครับ

ได้ผลอย่าไร หรือมีข้อแนะนำ ช่วยบอกด้วยนะครับ
แถมความหมายครับ เอามาจากที่อื่น อีกทีครับ
รหัส Error และความหมายค่ะ

(ไปรวบรวมมาจาก Internet ก็ต้องขอขอบคุณผู้ที่นำความรู้มาแบ่งปันกันด้วยนะค่ะ )



*** E2 = ตลับหมึกพิมพ์ไม่เข้าตำแหน่ง Home


......( กรณีติด Ink Tank สายนำน้ำหมึกอาจตึงเกินไป )


*** E3 = กระดาษติด

.....( เอากระดาษออก กดปุ่ม Color/จะทำงานต่อ หรือ Stop/ยกเลิกการทำงาน )


*** E4 = ตลับหมึก ดำ(PG 40/830) สี(CL 41/831) สีใดสีหนึ่งหมด หรือหมดทั้ง 2 ตลับ


*** E5 = ตลับหมึก ดำ(PG 40/830) สี(CL 41/831) Error หรือเสีย



*** E8 = ถังขยะใกล้เต็ม ( ใช้โปรแกรมเคลียร์ )



*** E14/E15 เครื่องไม่สามารถติดตั้งหัวพิมพ์ได้


.....( ถอดตรวจสอบทำความสะอาดแผงวงจรที่หัวพิมพ์ แล้ว Reset Error )


*** E16 Protection Error ( เคลีย Error )


*** E22 = ตลับหมึก error


*** E23 = ฟีดกระดาษ error


*** E24 = purge unit error


*** E25 = ASF (cam) sensor error


*** E26 = เกิดความร้อนหรืออุณภูมิภายในสูงขึ้น

*** E27 =ซับหมึกใกล้เต็ม


*** E28 =อุณภูมิตลับหมึกสูงเพิ่มขึ้น มีข้อผิดพลาดจากน้ำหมึกขาดหรือไม่มีน้ำหมึกในตลับ


*** E42= ชุดสแกนมีปัญหา

.............(แบบนี้ส่งซ่อมอย่างเดียวเลยง่ายดี แต่เสียเงินนะ)

วันลอยกระทง



วันลอยกระทง เป็นวันเทศกาลสำคัญ วันหนึ่ง ของคนไทย ซึ่งจะมีขึ้นใน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นช่วงที่อากาศโปร่งใสสบาย และสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว นอกจากนี้ ระดับน้ำ ในแม่น้ำ ลำคลอง ทั่วทั้งประเทศ ก็มีระดับสูงด้วย


คำว่า "Loy" ก็คือ "ลอย" และคำว่า "กระทง" นี้ หมายถึง กระทง รูปดอกบัว ทำด้วยใบตอง และในกระทง ส่วนใหญ่ ก็จะใส่ เทียนไข ธูป 3 ดอก ดอกไม้ และ เงินเหรียญ

ความจริงแล้ว เทศกาลนี้ แต่เดิมเป็น พิธี ทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งประชาชนต้องการแสดง ความขอบคุณต่อเจ้าแม่คงคา ดังนั้น คืนเดือนเพ็ญ ประชาชนจึงจุดเทียนและธูป พร้อมกับ ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วจึงลอยกระทง

ในลำคลอง แม่น้ำ หรือแม้แต่ สระน้ำเล็กๆ เป็นที่เชื่อกันว่า กระทงนี้ จะพาไปซึ่ง บาปและความโชคร้าย ทั้งมวลออกไป นอกจากนี้ การตั้งจิตอธิษฐาน ก็เพื่อปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง แน่นอนที่สุด ช่วงนี้เป็น เวลาแห่ง ความรื่นเริง และ สนุกสนาน เพราะได้ลอยความเศร้าโศกต่างๆ ออกไปแล้ว

เทศกาลลอยกระทง จะเริ่มในช่วงเย็น เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ประชาชนจาก ทุกสาขาอาชีพ จะนำกระทงของตน ไปยังแม่น้ำ ที่ใกล้ๆ หลังจาก จุดเทียนไข และธูปแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐาน ในสิ่งที่ ตนปรารถนา แล้วจึงค่อยๆ วางกระทงลงในน้ำ แล้วปล่อยให้ กระทงลอยไปจนสุดลูกตา

การประกวด สาวงาม ก็เป็น ส่วนสำคัญของ เทศกาลนี้ เช่นกัน แต่ว่า ในโอกาส เช่นนี้ เราเรียกว่า "ประกวดนางนพมาศ"

นางนพมาศ เป็นสตรีใน ตำนานครั้ง กรุง สุโขทัย ตามหลักฐาน กล่าวว่า นางนพมาศ เป็นสนมเอก ของพระเจ้า กรุงสุโขทัย พระนาม ว่า "ลิไท" กล่าวกันว่า นางนพมาศ เป็นคนแรก ที่ทำกระทง ประดับประดา สวยงาม เพื่อลอยใน ลำน้ำ ในโอกาสนี้

ในกรุงเทพมหานคร สถานที่ใหญ่ๆ เช่น โรงแรมชั้นนำ และสวนสนุก จะจัดเทศกาล ลอยกระทงขึ้น พร้อมทั้งจัดให้มี การประกวด กระทงประจำปี ด้วย

สำหรับผู้มาเยือนประเทศไทย เทศกาลลอย กระทงนี้ เป็นโอกาสที่ไม่ควรจะพลาด และเทศกาลนี้ จัดไว้ไนปฏิทินการท่องเที่ยวด้วย ทุกๆคนสามารถ เข้าร่วมสนุกสนานรื่นเริงได้


ที่มาจาก http://sunsite.au.ac.th/thailand/special_event/loykratong/index.html

15 วิธีคลายร้อน...ดีดีมาแล้ว


1.เดิน นั่งเล่น ทานอาหาร ห้างสรรพสินค้า ได้แอร์โดยไม่ต้องเปิดแอร์เองที่บ้าน หาเก้าอี้สาธารณะแล้วนำอาหารไปทานเองจากบ้านก็ได้ ไม่เปลืองสตังค์ มาถึงยุคนี้แล้ว ไม่ต้องอายค่ะ ทำไปก่อนค่ะ เดี๋ยวมีคนทำตามเพียบ!

2.เข้าโรงหนัง ระหว่างนั่งรอหนังเข้า ก็เอามือถือมาเปิด oknation wap เล่นบล็อกซะ

3.เข้าไปนั่งอ่านหนังสือ ทำงานที่ห้องสมุดที่เปิดแอร์อยู่แล้ว

4.ไปนั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ ตามสวนสาธารณะ สถานที่คุ้นเคย มีคนรู้จักแถบนอกเมือง

5.หยุดวันสองวันก็ปิดบ้านหนีร้อนไปเที่ยวน้ำตก หรือทะเลบ้าง

6.อาบน้ำบ่อยๆ นอนแช่น้ำให้คลายร้อน (โดยไม่ต้องใช้เครื่องทำน้ำอุ่น)

7.ทาแป้งเย็น หรือประดินสอพอง ให้ตัวลายพร้อย เปิดหน้าต่างรับลม

8.เอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆชุบน้ำแช่ในช่องแข็ง หรือแช่เย็นไว้หลายๆผืน ควรหาอะไรใส่หุ้มไว้ทุกผืน ป้องกันไม่ให้ติดกัน หรือเปรอะเปื้อน เอาออกมาเช็ดหน้า เช็ดตัว พาดไว้ที่คอ คลายร้อนได้ดี

9.ซื้อถาดทำน้ำแข็งไว้เยอะๆ ทำน้ำแข็งใส่ที่เก็บน้ำแข็งไว้ให้มีใช้ตลอดเวลา

10.ทำน้ำเย็นใส่กระติกไว้ทาน (เหยาะน้ำยาอุทัย สักนิดให้ชื่นใจก็ได้) ใส่กระติกใบเล็กสำหรับพกออกไปนอกบ้าน ไม่ต้องไปซื้อน้ำเย็น น้ำแข็งใสที่ไหน

11.ทำไอศครีมหรือหวานเย็นทานเอง จะใช้น้ำผลไม้คั้นสดๆ (คั้นด้วยมือ) ผสมน้ำผึ้ง น้ำเชื่อม เกลือนิดหน่อย หรือ ใช้น้ำแข็งทุบละเอียดใส่น้ำหวาน

12.พื้นบ้านหลังจาก ถูด้วยผ้าเปียกใหม่ๆจะรู้สึกเย็นสบาย วันนี้คุณถูบ้านหรือยัง?

13.เอาผ้าชุบน้ำ หรือถุงผ้าชุบน้ำใส่น้ำแข็ง แขวนไว้หน้าพัดลม ก็เย็นเหมือนเปิดแอร์ (ถ้าขี้เกียจเดินเอาผ้าไปชุบน้ำบ่อยๆ ให้ใช้ผ้ายาวหน่อย จับปลายด้านล่างแช่น้ำ หรือน้ำแช่น้ำแข็งในถังวางไว้หน้าพัดลมเลยค่ะ)

14.ทำราวแขวนผ้าในบ้าน ย้ายผ้าสะอาดๆที่หมาดแล้วมาตากในบ้าน ให้พัดลมพัดเฉี่ยวๆเอาลมเย็นมาปะทะตัวเรา

15.ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากใยธรรมชาติ งดผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ท่านอนแบบไหน...ถึงจะนอนหลับสบายถึงเช้า


การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า....
ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำ แล้วท่าไหนละ! ที่นอนแล้วสบายที่สุด

ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่านอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร
ท่านอนตะแคง หากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว
ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
โดยท่านอนคว่ำนี้ถือว่าเป็นท่านอนที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างหมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน

เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไปนะ
ที่มาจาก :ข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

บทความดีดี...ที่มีไว้เตือนสติ


1.จริงอยู่ มีมิตรภาพความเป็นเพื่อนนั้นไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่าเปลี่ยนแปลงได้
2.เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความสุกข์ ไม่มีใครดีใจอย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข เมื่อนั้นคุณเรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว
3.อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวดความทรมานที่ได้ประสบ ผ่านไปกับอดีตด้วย
4.อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อคนที่คุณชอบพอ เพราะมัวคิดว่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตคนเราแสนสั้นนะคุณ จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้
5.คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา แต่มันทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น
6.อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข
7.ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญ จงอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ
8.แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุก ๆ วัน ไม่ใช่แค่วันหยุดหรือวันเกิด
9.ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาส ซึ่งนำพาทั้งความสุขและบทเรียนมาให้คุณ
10.เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้

อ่านข้อคิดดีดี 10 ข้อ แล้วอย่าลืมนำไปเตือนใจตัวเองด้วยนะครับ

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"



เราได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์มาหลายสัปดาห์แล้วนะครับ พักเรื่องอาหารกันสักนิด วันนี้มีวิธีที่จะคลายความเครียดมาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมครับ

1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะครับ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยครับ
2. พูดระบายความเครียด -- พูดครับ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยครับ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยครับ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะครับ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดครับ

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะครับว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะครับ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่
1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์
2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก
3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์
3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน

5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงครับ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพครับ


6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะครับ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะครับ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ครับ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวครับ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ
9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย

ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายครับ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติครับ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะครับ
ที่มา: ข้อมูลจาก บทความ วิถีทั้ง 9 แห่งการคลายเครียด ของ นพ. พนมทวน ชูแสงทอง

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ภัยใกล้ตัวจาก...โทรศัพท์มือถือ


ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นมากกว่าเครื่องมือที่ใช้ติดต่อสื่อสาร มีตัวเลือกที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้ใช้ทุกรูปแบบ อาทิ ดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายรูป คาราโอเกะ เกมออนไลน์ จนกลบกระแสเรื่องผลกระทบจากมือถือ

มีรายงานทางการแพทย์หลายครั้งระบุว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ ทำให้เป็นมะเร็งได้ ซึ่งเกิดจากการนำโทรศัพท์มือถือใส่ไว้บริเวณกระเป๋าเสื้อ เป็นได้ทั้งชายและหญิง ที่สำคัญ คลื่นจากโทรศัพท์มือถือมีผลต่อสมองและสายตาด้วย ที่ต้องระวังเรื่องแบตเตอรี่ที่อาจระเบิดได้

พ.อ.น.พ.สุรเดช จารุจินดา แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า โทรศัพท์มือถือใช้แนบไว้ที่หูครั้งละนานๆ เป็นเวลาหลายปี จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง โดยมีรายงานการวิจัยในหลอดทดลองว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีความถี่อยู่ในช่วงคลื่นไมโครเวฟทำให้เกิดความร้อน และทำร้ายเซลล์ภายในเนื้อเยื่อบริเวณ หู ตา และสมอง

ผลกระทบในระยะสั้น ผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเครียดเนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน

ผลในระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย เกิดโรคมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ และทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

จากรายงานยังระบุว่า การใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ รวมทั้งการใช้โทรศัพท์มือถือขณะเติมน้ำมัน อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ได้ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือทำให้เกิดประกายไฟที่จุดติดไฟกับน้ำมันได้

วิธีการป้องกัน ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องคุยนานให้สลับหูซ้ายหูขวา ควรใช้อุปกรณ์ Small talk หรือ hand fred ทุกครั้งเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบใช้โทรศัพท์มือถือ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ขณะเติมน้ำมันรถยนต์ และปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง หรือคาดเอว หรือแขวงไว้ช่วงหน้าอก เพราะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจากเครื่องตลอดเวลา อาจทำให้เป็นมะเร็งเต้านมและเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้
ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

นิวโรบิคส์ (Neurobic) : ศาสตร์ใหม่บริหารสมองให้แข็งแรง


“อากาศร้อน นอกจากสมองจะล้า บางครั้งยังทำให้
ความสามารถ และ ความคิดสร้างสรรค์ลดน้อยลง”

นิวโรบิคส์ คือ ระบบอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารสมองโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ร่วมกับอารมณ์
ความรู้สึกในการทำกิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้มีสุขภาพดี

คุณอยากมีอาการหัวใสคิดอะไร "ปิ๊ง ปิ๊ง" ตอนทำงานทุกครั้งหรือเปล่า ?
อย่างนี้ต้อง มาบริหารสมองกันเถอะ !

  1. พยายามใช้ประสาทสัมผัสของคุณอย่างน้อยหนึ่งอย่างในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น
    • ลองใส่เสื้อผ้าโดยไม่ลืมตา • สระผมโดยไม่ลืมตา
    • ใช้สายตาและท่าทางในการสื่อสารแทนการใช้คำพูดบนโต๊ะอาหาร

  2. ลองใช้ประสาทสัมผัสสองอย่างให้ทำงานร่วมกัน เช่น
    • ฟังเพลงและสูดดมกลิ่นของดอกไม้ไปพร้อม ๆ กัน
    • ฟังเสียงฝนตกพร้อมกับเคาะนิ้วมือ • จ้องมองก้อนเมฆและปั้นดินน้ำมันไปพร้อม ๆ กัน

  3. เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น
    • แปรงฟันด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด
    • เปลี่ยนแปลงลำดับเวลา เช่น เดิมอาบน้ำก่อนรับประทานอาหาร ก็เปลี่ยนเป็นรับประทานอาหาร
    ก่อนอาบน้ำ เป็นต้น
    • เดินทางไปทำงานด้วยเส้นทางใหม่ • ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดในการรับประทานอาหาร
    • ลองช้อปปิ้งในร้านใหม่ที่ไม่เคยเข้า

  4. ที่ทำงาน
    • สลับตำแหน่งสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะทำงาน
    • โทรไปหาเบอร์ประจำโดยสูดดมกลิ่นหอม เช่น สูดดมกลิ่นส้มก่อนโทรหาเจ้านาย

  5. ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและตลาดสด
    • หลับตา, สูดกลิ่น แล้วลองทายดูว่าเป็นผลไม้ชนิดไหน, ขนมยี่ห้ออะไร
    • ลองหยิบสินค้าชนิดใหม่ ๆ มาดูรายละเอียด

พึงระลึกเสมอว่า การออกกำลังกายสมอง ไม่สามารถทำให้สมองของคุณเหมือนสมองคนอายุ 20 ปี
แต่ทำให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบเสมือนคุณออกกำลังกาย ไม่สามารถทำให้คุณเป็น
หนุ่มสาวขึ้น แต่ทำให้ร่างกายคุณแข็งแรง ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้


ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ฉลากบนผลไม้...คุณเคยรู้ไหม


ฉลากผลไม้ทั่วไป - มีตัวเลขสี่หลัก ขึ้นต้นด้วย 4 เช่น 4xxx
ฉลากผลไม้ Organic (ผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี) - มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 9 เช่น 9xxxx
ฉลากผลไม้ GMO (ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้พันธ์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม)
- มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 8 เช่น 8xxxx

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะเลือกซื้อผลไม้ จำไว้ว่าตัวเลขสำคัญที่คุณควรรู้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการซื้อผลไม้ที่มีสารเคมีและผลไม้ GMO
ดังนั้น ถ้าคุณเห็นแอปเปิ้ล ที่มีรหัส 4922 แปลว่า แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลทั่วๆไป ที่ปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยปกติ
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 99222 แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ปลูกโดยวิธีปลอดสารเคมี และปลอดภัย
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 89222 อย่าซื้อ!!!
แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม(GMO)

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

กรวดสองสี...สีขาวและสีดำ


เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"
ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ
เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง
หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ
และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้
ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร
"
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ
"...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ"

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

นั่งทำงานอย่างไร...ไม่ให้ปวดหลัง


การจัดวางจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
ควรปรับจอภาพด้านบนสุดให้อยู่ในแนวเดียวกับระดับสายตา ควรวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่เหนือคีย์บอร์ด และอยู่ตรงหน้า ตรงกับระดับสายตาในขณะที่นั่งประมาณ 2-3 นิ้ว
ควรนั่งให้แขนห่างจากหน้าจอให้ยาวที่สุด และควรปรับระยะการมองเห็น พยายามหลีกเลี่ยงการเพ่งจ้องคอมพิวเตอร์ โดยการวางตำแหน่งจอให้เหมาะสม ถ้าจะให้ดีควรจะมีแผ่นกรองแสงเพื่อป้องกันการเสื่อมของตาด้วย
ปรับมุมจอคอมพิวเตอร์ในแนวตั้ง และปรับอุปกรณ์ควบคุมจอเพื่อลดการมองแสงที่ออกจากคอมพิวเตอร์ หรือควรปรับม่านหากมีแสงสว่างมากจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นจอคอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวด เมื่อย หรือ กล้ามเนื้อเกร็งได้ แม้ว่าจะมีการจัดวางตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ ปรับเก้าอี้ พนักพิง และการนั่งที่ถูกต้องแล้ว แต่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของเลือดหยุดชะงัก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ ซึ่งการหยุดพักและผ่อนคลายเป็นวิธีป้องกันได้ดีที่สุด โดย ดร.แพทริก อิริคสัน ได้ให้คำแนะนำถึงวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับพนักงานออฟฟิศง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้

ควรจะพักบริหารร่างกายสัก 1-2 นาที ในทุกๆ 20-30 นาที หลังจากที่นั่งทำงานในแต่ละชั่วโมง เพื่อให้ร่างกาย และกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย พยายามหางานอย่างอื่นทำแทนในขณะที่หยุดพัก หรือจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้น บิดตัวไปมา ก็อาจจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายมากขึ้น
ควรพักสายตา อย่างน้อย 5 นาที หลังจากที่จ้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เนื่องจาก แสง และรังสีต่างๆ ที่ออกจากจอ อาจทำให้ตาเมื่อยล้า และทำให้สายตาสั้นลงได้ ควรจะพักสายตา โดยการหลับตา หรือ มองไปบริเวณรอบๆ เป็นระยะๆ หากรู้สึกปวดตา ให้มองไปบริเวณที่มีสีเขียว ก็อาจจะทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น ไม่ควรจ้องมองไปที่แสงสว่าง หรือที่มีแดดจ้า
หากรู้สึกเมื่อย ก็ให้หยุดพัก ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก ล้างหน้า เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่าฝืนนั่งทำ เพราะอาจจะทำให้เสียสุขภาพได้

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

เล็ก ๆ น้อย ๆ เนอะ


อย่าพูดว่า ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ เลย
....จงพูดว่าฉันจะลองทำและจะทำให้ได้
อย่าพูดว่า นึกแล้วมันต้องออกมาเป็นอย่างนี้
....จงพูดว่า ไม่เป็นไร ลองปรับแก้ดู แล้วทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม


จากหนังสือ พลังใจ พลังชีวิต ของ ปัณณวัฒน์

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

การไม่มีโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุด...ว่าไหมครับ


ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่าง ๆ
ปริมาณและวิธีใช้
1. บำรุงสุขภาพ
น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5.ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสน
หรือ การบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร

7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่ เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20%) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย

20.โรคแพ้ใจตัวเอง ใช้น้ำผึ้งเหมือนทุกข้อ1-19... (ผมคิดเอง ล้อเล่นนะครับ ...ขอให้ทุกคนไม่มีโรคนะครับ)

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

อ่านแล้วทำให้"คิดบวก"อีกเยอะ


สิ่งที่แข็งที่สุด..
เอาชนะได้ด้วย..สิ่งที่อ่อนที่สุด
------------

เมื่อประตูบานหนึ่งปิด.. อีกบานหนึ่งก็เปิด..
แต่บ่อยครั้ง..ที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด
จนไม่ทันเห็นว่า...มีอีกบาน-ที่เปิดอยู่
-----------
อย่ามัวค้นหา..ความผิดพลาด
จงมองหา..หนทางแก้ไข
-----------
อารมณ์ขัน..เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด..
ที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้...
เพราะทันที-ที่เกิดอารมณ์ขัน
ความรำคาญ..และความขุ่นข้อง-หมองใจ..จะหายไป
กลับกลายเป็น..ความเบิกบานแจ่มใส..ของจิตใจ
เข้ามาแทนที่

------------
อย่ากลัว..ที่จะนั่งหยุดพัก..
เพื่อคิด
-----------
1 นาที..ที่คุณโกรธ
เท่ากับ..คุณได้สูญเสีย 60 วินาที
แห่งความสงบในจิตใจ..ไปแล้ว
------------

หนทางเดียว..ที่จะรักษาภาพพจน์ได้..คือ..
การซื่อสัตย์..ตลอดเวลา
-------------
ผู้ชนะ..ไม่เคยลาออก
และผู้ลาออก..ก็ไม่เคยชนะ
------------

ออกซิเจน..สำคัญต่อปอดเช่นไร
ความหวัง..ก็เป็นเช่นนั้น
ต่อความหมาย..ของชีวิต
-------------
การมีชีวิตอยู่-นานเท่าใด..
มิใช่..สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญ..ก็คือ .มีชีวิตอยู่-อย่างไร
-------------

เราเข้าใจชีวิต..
เมื่อมองย้อนหลัง..เท่านั้น
แต่..เราต้องดำเนินชีวิต..ไปข้างหน้า
------------

ไม่มีสิ่งใด..ช่วยให้คุณ..ได้เปรียบคนอื่น
มากเท่ากับ..
การควบคุมอารมณ์..ให้สงบนิ่ง..อยู่ตลอดเวลา
ในทุกสถานการณ์
------------
ความอดทน..
คือ..เพื่อนสนิท..ของสติปัญญา
-------------
พรสวรรค์ยิ่งใหญ่..ของมนุษย์
คือ .การที่เราสามารถ..เอาใจเขา-มาใส่ใจเราได้
-------------

ในธรรมชาติ..ไม่มีสิ่งใดดีพร้อม
แต่ทุกอย่าง..ก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง
ต้นไม้..อาจบิดเบี้ยว-โค้งงอ..อย่างประหลาด
แต่ก็ยังคง..ความงดงาม
-------------
มักพูดกันว่า..
กาลเวลา..เปลี่ยนทุกสิ่ง
แต่จริงๆแล้ว .
คุณ..ต้องเปลี่ยนทุกสิ่ง..ด้วยตนเอง

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

เวลา...คำสั้น ๆ แต่สำคัญ


ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าเพียงใด .. ให้ถามมารดาที่ต้องคลอดบุตรก่อนกำหนด

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 สัปดาห์มีค่าเพียงใด .. ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าเพียงใด .. ให้ถามคู่รักที่ต้องรอเวลาจะพบกัน

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือเครื่องบิน

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าอยากรู้ว่าเวลาในเสี้ยววินาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญเงิน

เวลาไม่เคยคอยใคร .. เราควรใช้ทุกขณะอันมีค่ายิ่งให้ดีที่สุด

จงแบ่งปันเวลาให้กับใครบางคนที่เป็นคนพิเศษที่เรารัก

ไม่มีที่มาของบทกลอนนี้

แต่เราสามารถแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับใครบางคน

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ต้นไม้ใหญ่...กับชีวิตเด็กน้อย


ผมไปอ่านเจอเรื่องเล่านี้มากครับ ... สอนใจลูกอย่างเราครับ...นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า "มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ "ฉันไม่มีเงินจะให้ ......เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย ต้นไม้ดูเศร้า...... วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก "มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม" "ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ......เอาไปสร้างบ้าน" ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า.... วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก "มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม" "ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ต้นไม้ตอบ ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก "ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว" "ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ "ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย" "ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว" "รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน .....หลับให้สบาย....." เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่ เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่... เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา ไม่ว่าอย่างไร...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้ หวังเพียงเรามีความสุข คุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร? ........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .......???
ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

น้ำกับร่างกายของเรา...นั้นสำคัญ

บทความดีๆวันนี้ขอเสนอความสัมพันธ์ของน้ำกับร่างกายเรา
รู้หรือไม่ ในร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วย น้ำถึงประมาณ 65 เปอร์เซนต์ ส่วนในสมองนั้นประกอบด้วยน้ำ กว่า80เปอร์เซนต์ แม้แต่ในกระดูกซึ่งหลายๆคนคิดว่าไม่น่าจะมีน้ำหรือมีน้ำเป็นองค์ประกอบน้อยมากๆ กลับมีถึง ร้อยละ25!! เห็นถึงความสำคัญของน้ำต่อร่างกายเรารึยังหละครับ

ร่างกายต้องการน้ำโดยเฉลี่ยแล้วประมาณวันละซัก 3ลิตร น้ำที่ได้มาอาจอยู๋ในรูป น้ำเปล่าที่ดื่ม น้ำผลไม้ และอาหารอื่นๆ
ความสำคัญของน้ำต่อร่างกายคือ

เซลล์ต่างๆมีน้ำเป็นองค์ประกอบ

  • ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว, แลกเปลี่ยนสารภายในเซลล์

  • ช่วยลำเลียงสารอาหาร, ก๊าซ, ของเสียต่างๆ ในร่างกาย

  • ช่วยให้อาหารชื้นทำให้ย่อยง่ายขึ้น
  • ตัวกลางในการทำปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย

  • ช่วยคุมอุณภูมิในร่างกายให้คงที่ เช่น เหงื่อไหลเมื่อร้อน เมื่อน้ำระเหยร่างกายก็จะเย็นลง

  • ช่วยขับถ่ายของเสีย เช่น ปัสสาวะของเราก็คือ ยูเรียซึ่งละลายในน้ำ ทำให้สามารถขับออกไปได้ง่าย

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

เรามองเห็นสีได้อย่างไร....มีคำตอบ



การที่เราเห็นสีเช่น ใบไม้สีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า เปลือกไม้สีน้ำตาล และอิ่นๆ
เกิดจากแสงของ พระอาทิตย์ ไปตกกระทบ ซึ่งในแสงขาวประกอบด้วย เจ็ดสี คือม่วง, คราม, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง, แสด, แดง
ถ้าแสงไปกระทบวัตถุสีเขียว เช่นใบไม้ มันก็จะสะท้อนแสงสีเขียวมาที่ตาเรา ทำให้เราเห็นเปนสีเขียว ส่วนสีอื่นๆ จะดูดกลืนเข้าไปหมด
สรุปก็คือ ที่เราเห็นสีของวัตถุ เกิดจากการที่แสงสะท้อนสีนั้นๆ เข้ามาที่ตาเราและดูดสีอื่นไป

ความรู้รอบตัว*แต่มีสีที่แปลกอยู่ 2 สี คือดำกับขาว เพราะ สีดำ จะดูดกลืนแสงทุกสี ไม่ว่าจะส่องแสงสีอะไรใ่มันก็ยังเป็นสีดำอยู่
ส่วนสีขาว จะสะท้อนแสงทุกสี เช่นถ้าเราเอานีออนสีเหลืองมาส่องใส่ผ้าขาว ผ้าก็จะดูเป็นสีเหลืองทันที เพราะมันสะท้อนสีเหลืองมากระทบตาเรา

เกร็ดความรู้ดีดีจกาก ปล๊อกบันเทิง.คอม

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

บทความสอนใจ...พนักงานทุกคน



ลูกค้า คือ บุคคลสำคัญ

ความถูกใจ พึงพอใจ ของลูกค้า

คือ ทางอยู่รอดของร้าน

ถ้าเราไม่ดูแลลูกค้าของเราให้ดี

ก็จะมีคนอื่นมาดูแลแทนเรา

ร้านเกิดได้จาลูกค้า

ก็สามารถจบจากลูกค้าได้เช่นกัน

จงปฏิบัติต่อลูกค้าให้ดีที่สุด

คนอื่นจะได้ไม่มาปฏิบัติแทน


บทความจาก ร้านไม้ขอน


ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

คิดอย่างบวก...เรื่อง..."จดหมายไม่มีชื่อผู้ส่ง"



ผมไปเปิดอ่านเจอนิทานดีดี ที่แอบสอนแง้คิดจากพระอาจารย์ทั้นหนึ่งที่กระผมนับถือ โดยเรื่องมีอยู่ว่า มีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่เคี่ยวในการสอนมาก จึงทำให้เป็นที่ไม่พอใจแก่บรรดาเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลาย จนกระทั่ง มีอยู่วันหนึ่ง มีลูกศิษย์คนหนึ่งสุดทนขึ้นมา จึงขอระบายออก ด้วยการเขียนตัวหนังสือลงในเศษกระดาษแผ่นหนึ่งว่า "ไอ้บ้า" แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะอาจารย์ เพื่อหวังยั่วยุให้อาจารย์ท่านนี้โมโห แล้วก็ถึงเวลาเรียน อาจารย์ท่านนี้เดินมาถึงโต๊ะ ก็เห็นกระดาษแผ่นนี้ จึงหยิบขึ้นมาดู แต่กลับไม่เป็นอย่างที่เด็กนักเรียนคนนั้นคิด ท่านเฉยๆแล้วมีอมยิ้มเล็กๆ จากนั้นก็วางกระดาษแผ่นนั้นลงที่โต๊ะ และเริ่มทำการสอน ทำให้เด็กนักเรียนหลายคนแปลกใจ ทำไมอาจารย์ไม่โกรธ

จนกระทั่งเมื่อหมดเวลาเรียน อาจารย์ท่านนั้นจึงเอ่ยปากพูดกับนักเรียนว่า "วันนี้อาจารย์เจอเรื่องแปลก มีคนส่งจดหมายมาให้อาจารย์ ธรรมดาจดหมายนั้นจะต้องมีเนื้อหาของจดหมายระบุว่าเจ้าของจดหมายต้องการอะไร และปิดท้ายของจดหมายด้วยชื่อของผู้ส่ง แต่วันนี้แปลก จดหมายที่อาจารย์ได้รับ มีแต่ชื่อผู้ส่งแต่ไม่มีเนื้อหา" เมื่ออาจารย์พูดจบก็เดินออกจากห้องไป

นักเรียนได้ฟังถึงกับอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เขียนคำว่า"ไอ้บ้า"ลงในกระดาษแผ่นนั้น ถึงกับคิดในใจ "อาจารย์เรานี่ก็แน่เหมือนกัน" จึงได้ไปหาอาจารย์กราบขอโทษอาจารย์ท่านนั้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ ได้ข้อคิดอะไรดีดี กันบ้าง แนะนำกันได้ครับ

นิทานจาก เวป DMC
ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ควันพิษ...ผู้ร้ายที่ทุกคนมองข้ามกัน


สวัสดีครับ วันนี้ผมนำเรื่องที่ใกล้ตัว ทุก ๆ ครับ แต่ทุกคนกลับมองข้ามกัน เพราะอาจจะชินและต้องพบปะอยู่ทุกวันเป็นประจำ คือ ควันพิษจากการจรากรและการขนส่ง หรือควันจากการเผ่าไหม้ ต่าง ๆ เช่น การเผาเศษขยะของชาวบ้าน การเผาเพื่อการเกษตร และร้านหมูกระทะ ต่าง ๆ ฯลฯและผมไปอ่านเจองานวิจัย ดีดี แล้วนำมาฝากกันครับ


นักวิจัยในเนเธอร์ศึกษาว่าการสูดควันพิษเข้าร่างกายนาน 1 ชั่วโมงนอกจากทำให้ปวดศีรษะแล้ว ยังอาจทำให้สมองทำงานผิดปกติได้ วารสารพาร์ทิเคิล แอนด์ ไฟเบอร์ ท๊อกซิโคโลจี ลงพิมพ์งานวิจัยของมหาวิทยาลัยชุดในเนเธอร์แลนด์ว่าให้อาสาสมัคร 10 คน เลือกอยู่ในห้องที่มีอากาศสะอาดหรือห้องที่มีไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลนาน 1 ชั่วโมงที่อยู่ในห้องและอีก 1 ชั่วโมงหลังออกจากห้องพบว่า สมองของอาสาสมัครเริ่มแสดงออกถึงความเครียดหลังจากอยู่ในห้องที่มีไอเสียได้เพียง 30 นาที และยังคงเป็นเช่นนั้นแม้ว่าออกจากห้องแล้ว
จากผลการศึกษานี้จึงคาดการณ์ได้ว่า คนในเมืองใหญ่ที่ได้รับควันพิษในอากาศนาน ๆ จะเกิดผลระยะยาวต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
อนุภาคขนาดนาโนที่เกิดจากการจราจรติดขัดอาจจะทำให้สมองทำงานผิดปกติได้ คณะนักวิจัยระบุ ควรต้องมีการศึกษาเพื่อหาผลที่แน่ชัดต่อไป ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษากับสุนัขในแม็กซิโกพบว่า สุนัขที่อยู่ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ขึ้นชื่อเรื่องการจราจรติดขัดนัก สมองมังมีแผ่นคราบคล้ายที่พบในสมองของผู้ป่วยอัลซเมอร์ ส่วนสุนัขที่อยู่ตามชนบทและมีมลภาวะน้อยกว่า สมองเสียหายน้อยกว่าสุนัขในเมือง


ขอบคุณข่าวจาก INN NEWS
ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

รูปปั้น..."โอกาส"


ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอยู่ใจกลางเมือง ปัจจุบันรูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่แผ่นจารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่ คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่าง
รูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา

"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"
"ฉันชื่อโอกาส"
"ใครเป็นคนสร้างท่านขึ้นมา"
"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"
"เหตุใดท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"
"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"
"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"
"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"
"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"
"ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"
"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"
"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"

จริงด้วย ทางด้านหน้าของ "โอกาส" มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง
เพราะเมื่อปล่อยให้ "โอกาส" ผ่านไปแล้ว
ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก

"โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า
"อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู
แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน
ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ เรียกให้เธอตื่น
ให้ขยันขันแข็ง
ให้รีบตัดสินใจ ให้ลงมือทำ ให้ออกแรง ให้สู้
เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ
จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป
เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง ที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา
แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย"

เมื่อปล่อยให้ "โอกาส" ผ่านไปแล้ว
ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก
แล้วเราล่ะ? ปล่อยให้โอกาสผ่านไปหรือยัง
บทความดีดี จาก blogger.com

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

Earth Hour Campaign : “โครงการปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน”


รู้ไหมทำไมต้องปิดไฟ ?
“Earth Hour Campaign” หรือ “โครงการปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน” เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 โดย WWF ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรณรงค์ให้ประชาชน หน่วยงานราชการ และบริษัทเอก ชน พร้อมใจกันปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อสร้างจิตสำนึกในการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่ง ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผลจาก การรณรงค์ในครั้งแรก ได้รับความร่วมมือจากประชนชนจำนวนกว่า 2.2 ล้านคน และผู้ประกอบการกว่า 2,000 ราย สามาถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 10.2% ซึ่งเทียบได้กับปริมาณรถยนต์บนท้องถนนที่จะลดลง ไปถึง 48,000 คันต่อปี ดังนั้นจึงมีการรณรงค์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
มาช่วยกันทำให้ 1ชั่วโมงนี้ให้มีค่ากว่าที่ผ่่านมากับ Earth Hour 2010
WWF ประเทศไทย ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร ขอเชิญชวนประชาชน ปิดไฟร่วมกัน 1 ชั่วโมง ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.30 - 21.30 น. ทำได้ง่ายๆที่บ้านของคุณ ! นะครับ


บทความจาก ข่าวประชาสัมพันธ์

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

กำลังใจสร้างได้ด้วยตัวคุณ...

พอดีไปอ่านเจอครับ อ่านแล้วรู้สึกดี เลยเอามาฝากกันครับ...
ถ้าท่านทำตัวแข่งกับสังคม
ทางแห่งความล่มจมกำลังตามมา

ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า
ท่านจะพบกับปัญหาเรื่อยไป

ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้
ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง

ถ้าท่านกลัวจนเกินไป
ท่านจะทำอะไรไม่ได้ความ

ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม
ท่านจะพบกับความเดือดร้อน

ถ้าท่านขาดความพอดี
ท่านจะเป็นหนี้เขาตลอดกาล

ถ้าท่านหวังแต่ความสนุก
ท่านจะเป็นทุกข์มหาศาล

ถ้าท่านขาดความยั้งคิด
ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย

ถ้าท่านทำใจให้สงบ
ท่านจะพบกับความสุขที่แท้จริง


ที่มาจาก FW mail

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

วิธีแก้E2...เครื่องปริ้น Canon MP145 ขึ้นE2


พอดีที่บ้านผมใช้เครื่องปริ้น Canon MP145 อยู่ครับ
.....แต่เกิดมีปัญหา ขึ้น E2 แล้วปริ้นงานไม่ได้ครับ วันนี้ผมมีวิธี แก้มาฝากครับ ลองเองกับมือ ได้ผล ล้าน%..อิอิ

เริ่มแรก ถ้าเครื่องเกิดปัญหา E2 กระพิบ ๆ


  1. ให้ปิดเครื่องก่อนครับแล้ว... จึงเปิดเครื่องอีกครับ

  2. รอให้เครื่องรันไปจน ที่หน้าจอขึ้นเลข 1 **ไม่ต้องรอให้ขึ้นE2 นะครับ**ให้กดที่ปุ๋มถ่ายสีหรือขาวดำก็ได้ครับ

  3. เครื่องจะทำการปริ้นออกมา... แล้วerror ก็จะหายไปครับ

ถ้าทุก ๆ รองแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลดีอย่างไร ช่วยเขียนแนะนำด้วยนะครับ



ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

มุมมองใหม่สำหรับคนต้องการ...กำลังใจ


ถ้าหากกำลังมีทุกข์ ...ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น

ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า...หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก

หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า...จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นและรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน

ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่...ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า

หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า...แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน"

หรือหากทำงานและธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่าความผิดพลาดและล้มเหลว...คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ

เหมือนคำกล่าวที่ว่า

"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด...ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต...จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต"
ที่มาจาก เวป dhamboon.com
ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ระวัง!! "แม่ผมโดนกับตัว" การแอบอ้างกรมสรรพากรเพื่อหลอกลวงบุคคล และผู้เสียภาษี


ทุกท่านโปรระวังด้วย ช่วงปลายปี 52 ที่ผ่านมานี้มีกลุ่มมิจฉาชีพ แอบอ้างใช้ชื่อกรมสรรพากร หรืออ้างเป็นผู้บริหาร
หรือเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ใช้อุบายในลักษณะต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงให้หลงเชื่อ ได้แก่

โทรศัพท์มาแจ้งว่ามีภาษีคืนให้ การขอรับบริจาคเงินเพื่อการกุศลต่าง ๆ เป็นต้น

โปรดระวัง ! อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด และนี่เป็นกรณีแอบอ้างที่ตรวจพบ
1. แอบอ้างการแจ้งคืนภาษีผ่านบัญชีธนาคาร และโอนเงินเข้าบัญชีทาง ATM
2. แอบอ้างชื่อกรมสรรพากร ผู้บริหารกรม ข้าราชการกรม เพื่อให้ช่วยบริจาค ซื้อสินค้าเพื่อการกุศล
3. แอบอ้างชื่อกรมสรรพากร ผู้บริหารกรม ข้าราชการกรม เพื่อให้ช่วยบริจาค ซื้อสินค้าเพื่อการกุศล จากองค์กรสาธารณกุศลจริง และองค์กรเถื่อนที่ไม่ทราบว่าการบริจาคนั้นจะเป็นการกุศลหรือ สาธารณประโยชน์จริงหรือไม่


ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง
กรมสรรพากร

ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

Reung-Lao-DD COMMENTS


สวัสดีครับ ทุก ๆ ท่าน......
Reung Lao DD .....เรื่องเล่าดีดี
ขอคำแนะนำ ดีดี ด้วยนะครับ



ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com

ข้อความเตือนใจสำหรับคนที่เรียนสูง



"คนที่เรียนสูง"
................ใช่ว่า จะเป็นคนที่ดีเสมอไป

"คนที่ดี" ................ก้ใช่ ว่าไม่ถูกใครตำหนิว่าเสมอไป

"คนที่ดี".............ไม่จำเป็นต้อง เป็นคนเรียนสูงเสมอไป

"คนที่เรียนสูง".............ควร ที่จะมีจิตใจที่สูงด้วยถึงจะดี

"คนที่ดี"..........ควร ที่จะมีสติขันติเมตตาและปัญญาด้วยถึงจะดี

"สติ"....................... ตามรู้เท่าทันอารมณ์ตน

"ขันติ"............................. อดทนจนถึงที่สุด

"เมตตา".............. ไม่ทำร้ายตนเองและคนอื่นแม้แต่ด้วยความคิด

"ปัญญา"............... มีอุบายในการดูแลรักษาใจตนให้พ้นจากทุกข์
เราหลีกเหลี่ยงความร้อนและสาฝนด้วยการหลบเข้าร่ม เมื่อมีอารมณ์มากระทบจิต เราต้องรู้จักหลบและตั้งสติ
ที่จะรับมือกับมันอย่างผู้ที่ชนะ ชนะใจตนเอง...........

(ข้อความเตือนใจตัวเอง...จาก...พระมหาประดิษฐ์ จิตฺตสํวโร ฝากไว้เตือนใจทุกคนครับ)


ติดตามเรื่องเล่าดีดี...จาก http://reung-lao-dd.blogspot.com